วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558

การพัฒนาไก่ประดู่หางดำเพื่อเกษตรกรและผู้ประกอบการ


โครงการ ”การสร้างฝูงไก่พื้นเมือง 4 พันธุ์” โดย คุณอำนวย เลี้ยวธารากุล นักวิจัยจากศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์เชียงใหม่ กรมปศุสัตว์ ภายใต้โครงการซึ่งมี คุณอุดมศรี อินทรโชติ  จากกรมปศุสัตว์ เป็นหัวหน้าโครงการ  ได้ดำเนินการวิจัยการพัฒนาพันธุ์ไก่พื้นเมืองประดู่ดำ  เนื่องจากเล็งเห็นว่า ปัจจุบันการหาไก่พื้นเมืองไทยสายพันธุ์หรือพันธุ์แท้ต่างๆ ที่มีการกล่าวมาในอดีต เป็นเรื่องที่ยาก เพราะเกษตรกรที่เลี้ยงไก่พื้นเมืองทั่วไป  มักจะเลี้ยงและผสมพันธุ์ไก่โดยปล่อยตามธรรมชาติ  ไม่ได้สนใจการแยกพันธุ์หรือสายพันธุ์ หรือแม้แต่ผู้เลี้ยงไก่ชนก็มักจะสนใจเฉพาะไก่ที่ชนเก่ง ไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องสี ขนหรือลักษณะภายนอกต่างๆ  และยังมีการนิยมเอาไก่พื้นเมืองของพม่า เวียดนาม และบราซิลมาผสมกับไก่พื้นเมืองไทย เพื่อประโยชน์ในการชนซึ่งเป็นการทำให้มีการปนเปื้อนและการสูญเสียพันธุกรรมของไก่พื้นเมืองไทย
 ผลสำเร็จของโครงการ
1. ได้ฝูงไก่พื้นเมืองประดู่หางดำพันธุ์แท้ (Pure breed) ของประเทศไทย ที่มีการสร้างพันธุ์ขึ้นมาอย่างเป็นทางวิชาการ มีลักษณะประจำพันธุ์ทั้งลักษณะทางคุณภาพ และลักษณะทางปริมาณ เช่น สัตว์พันธุ์แท้ของนานาชาติ เลี้ยงได้ในสภาพชนบท และมีความสามารถของพันธุ์ในการผลิตไก่พันธุ์แท้ และลูกผสมที่ดีในระดับอุตสาหกรรม
2. สร้างเครือข่ายฟาร์ม เกษตรกร และ ผู้ประกอบการไก่ประดู่หางดำ

การนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์
1.     มีการนำพันธุ์ไก่ ไปใช้ประโยชน์ในกิจการที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยง และจำหน่ายไก่พื้นเมือง/ลูกผสมพื้นเมืองฯ ทั้งในระดับฟาร์มเอกชนที่เป็นอุตสาหกรรม ฟาร์มของรัฐบาล จนถึงระดับเกษตรกร
2.     ก่อให้เกิดอาชีพที่เกี่ยวกับไก่พื้นเมือง ทั้งผู้เลี้ยงไก่พื้นเมือง ผู้เชือดชำแหละ และผู้ขายไก่ในตลาด โดยได้สร้างเครือข่ายฟาร์ม เกษตรกรเลี้ยงไก่ประดู่หางดำ และเครือข่ายผู้จำหน่ายไก่ประดู่หางดำ ซึ่งในอนาคตคาดว่าจะมีการขยายไปในวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ
3.     สร้างการอนุรักษ์พันธุ์โดยให้ไก่ประดู่หางดำกลับไปสู่ถิ่นกำเนิดเดิม ในรูปเครือข่ายเกษตรกรเลี้ยงไก่ประดู่หางดำของกรมปศุสัตว์ คือนอกจากเก็บรักษาพันธุ์แท้ไว้ในเป็นฝูงต้นพันธุ์แล้ว ได้มีการกระจายไก่พันธุ์แท้เหล่านี้ กลับไปสู่หมู่บ้านต่างๆ
4.     มีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากการเลี้ยงไก่ประดู่หางดำพันธุ์แท้ จากขั้นตอนการผลิตไก่ จนไปสู่ผู้บริโภค ดังนี้
- ผู้เลี้ยงไก่ขุน ตั้งแต่แรกเกิด ถึงน้ำหนักจำหน่ายที่อายุ 12 สัปดาห์ (น้ำหนัก 1.2 กก.) ต้นทุนการผลิต 56 บาท/กก. จำหน่าย  70 บาท/กก. มีกำไรตัวละ 16.8 บาท คิดเป็นมูลค่าเพิ่ม 25 เปอร์เซ็นต์
- ผู้ชำแหละไก่  ไก่หลังชำแหละมีน้ำหนักเหลือพร้อมจำหน่ายเหลือประมาณร้อยละ 88, ต้นทุน 70 บาท/กก. จำหน่าย 95 บาท/กก. มีกำไรตัวละ 16.3 บาท คิดเป็นมูลค่าเพิ่ม 19 เปอร์เซ็นต์
- ผู้ขายไก่สดในตลาด จำหน่าย 120 บาท/กก. มีกำไรตัวละ 26.4 บาท คิดเป็นมูลค่าเพิ่ม 26 เปอร์เซ็นต์
- สร้างอาชีพที่มีความยั่งยืนในชนบท โดยอาศัยหลักเศรษฐกิจพอเพียงที่เกษตรกรสามารถผลิตพันธุ์ได้เอง ใช้อาหารและวิธีการเลี้ยงแบบท้องถิ่น บนพื้นฐานพันธุ์ไก่ที่ถูกพัฒนาให้สามารถอยู่ได้ในสภาพการเลี้ยงของประเทศไทย ทำให้เกิดความเข้มแข็งของชุมชนมากขึ้นในอนาคต

มข. เจ๋ง พัฒนาไก่พื้นเมือง KKU 50 เลี้ยงง่าย โตไว ไข่ดก ต้นทุนต่ำ

มข. เจ๋ง พัฒนาไก่พื้นเมือง KKU 50 เลี้ยงง่าย โตไว ไข่ดก ต้นทุนต่ำ

ปัจจุบันอาชีพการเลี้ยงสัตว์ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเกษตรกรไทย ซึ่งในการเลี้ยงดูต้องเอาใจใส่เป็นอย่างดี ผู้เลี้ยงจำเป็นต้องเรียนรู้และศึกษาถึงข้อดีข้อเสีย รวมทั้งปัจจัยต่างๆ ที่จะมีผลกระทบต่อการผลิตสัตว์และการตลาดให้ถ่องแท้ ถึงจะได้รับผลผลิตที่คุ้มค่าและมีรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับเกษตรกร เช่นเดียวกันกับการเลี้ยงไก่พื้นเมือง

               ศูนย์เครือข่ายวิจัยด้านการปรับปรุงพันธุ์สัตว์ ไก่พื้นเมือง มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย หรือ สกว. และบริษัทตะนาวศรีไก่ไทย (ภาคเอกชน) ร่วมลงทุนในการพัฒนาสายพันธุ์ ไก่พื้นเมืองไทย KKU 50 ขึ้น โดย รศ.ดร.มนชัย ดวงจินดา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายวิจัยด้านการปรับปรุงพันธุ์สัตว์ ไก่พื้นเมือง และทีมงาน  

               รศ.ดร.มนชัย ดวงจินดา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายวิจัยด้านการปรับปรุงพันธุ์สัตว์ ไก่พื้นเมือง เผยถึงการพัฒนาสายพันธ์ ไก่ KKU 50 ว่า “ศูนย์เครือข่ายวิจัยด้านการปรับปรุงพันธุ์สัตว์ ไก่พื้นเมือง มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ประกาศสายพันธุ์ไก่ที่พัฒนาขึ้นก่อนหน้านี้แล้ว มีสองสายพันธุ์หลักก็คือ ไก่ประดู่หางดำ มข. 55 และไก่สายพันธุ์ชี KKU 10 ในส่วนของไก่ไทย KKU 50 เป็นไก่สายพันธุ์ใหม่ที่เราพัฒนาขึ้น และได้ก็ประกาศพันธุ์ในปี 2557 เนื่องจากเป็นวาระครบรอบ 50 ปี ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น และครบรอบ 50 ปี ของคณะเกษตรศาสตร์ด้วย ไก่ไทย KKU 50 มีต้นกำเนิดมาจากไก่พื้นเมืองก็คือไก่ชีซึ่งมีขนสีขาว จากนั้นก็สร้างลูกผสมกับไก่ทางการค้า เมื่อได้ลูกผสมแล้วเราได้มีการคัดเลือกพันธุ์ให้เป็นสายพันธุ์แท้ ปัจจุบันเราได้ขึ้นมาอีก 4 สายพันธุ์แท้ ได้มีการประกวดชื่อแล้ว ก็จะมีชื่อ แก่นทอง สร้อยนิล สร้อยเพชร และไข่มุกอีสาน ซึ่งทั้งหมดนี้ก็จะต่อท้ายด้วย KKU 50 ในส่วนของ “แก่นทอง” จะมีสีน้ำตาลชัดเจน เราเรียกว่าสีอำพันเพราะจะเป็นสีออกทองนิดๆ ความโดดเด่นของเค้าคือเป็นไก่ที่ให้ไข่ดกมาก โดยเฉลี่ยในหนึ่งปีให้ไข่กว่า 200 ฟอง ซึ่งเหมาะที่จะทำเป็นไก่ที่เลี้ยงเพื่อผลิตไข่อย่างเช่นไข่อินทรีย์ หรือแปลงไข่จากไก่หลังบ้าน ส่วนของกลุ่ม “สร้อยเพชร” เป็นไก่ที่มีขนสีดำแต่มีสร้อยคอ แผงคอเป็นสีขาว ซึ่งจะมีลักษณะสวยงาม และจะมีความโดดเด่นที่เป็นลักษณ์สองด้าน คือเรื่องการเจริญเติบโต และเรื่องของการให้ไข่ดก เพราะฉะนั้นจะเหมาะกับกลุ่มเกษตรกรที่อยากจะมีไก่ที่ใช้ได้ทั้งเลี้ยงเพื่อเป็นเนื้อและเลี้ยงเพื่อผลิตไข่   ตัวที่3 กลุ่มของ “สร้อยนิล” จะเป็นกลุ่มที่มีขนสีขาว มีสร้อยคอสีดำ กลุ่มสร้อยนิลมีความโดดเด่นสองด้านเช่นกัน คือสามารถเลี้ยงเพื่อการเจริญเติบโตก็ได้และก็เลี้ยงให้ไข่ก็ได้ กลุ่ม “สร้อยเพชร” ลักษณะเด่นมีขนสีดำและมีสร้อยคอสีขาว จะมีสองลักษณะเด่นเช่นกัน ในส่วนของความแตกต่างของกลุ่มสร้อยเพชร คือเมื่อนำไปผสมพันธุ์กับไก่ทางการค้าใดๆก็ตาม จะได้ลักษณะเด่นที่มีขนสีดำกลับออกมา ซึ่งสามารถที่จะนำลูกผสมจากกลุ่มสร้อยเพชรไปเป็นตลาดชุมชนได้ เพราะคนทางภาคอีสานและภาคเหนือจะชอบไก่ที่มีขนสีดำ ส่วนสายพันธ์สุดท้ายคือ “ไข่มุกอีสาน” ลักษณะเด่นจะมีสีขาวปลอดตลอดทั้งตัว มีแข้งสีเหลือง ลักษณะสีสันจะคล้ายกับไก่ชีซึ่งเป็นพันธ์พื้นเมืองแท้ แต่เนื่องจากเราเป็นไก่พันธุ์สังเคราะห์สายใหม่ที่สร้างขึ้น ไก่ไข่มุกอีสานจะมีการเจริญเติบโตที่เร็วขึ้น ต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง และเป็นตัวที่เรากำลังจะผลิตเป็นไก่ไทยบอยเลอร์ในอนาคต ไทยบอยเลอร์คือไก่เนื้อไทย ซึ่งก็จะมีศักยภาพมากในการส่งออก และก็เป็นตลาดในกลุ่มอาเซียนและก็ตลาดในกลุ่มประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจะสนใจไก่ลูกผสมไก่บ้านไทย เป็นต้น

                รศ.ดร.มนชัย ดวงจินดา กล่าวเสริมอีกว่า เรื่องของการพัฒนาพันธุ์ไก่พื้นเมืองเพื่อไปใช้ประโยชน์ ว่า ในอนาคต คนก็จะมาสนใจเรื่องของการบริโภคอาหารที่เป็นอาหารพื้นบ้าน อาหารที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมมากขึ้น ในเรื่องของไก่พื้นเมือง กำลังถูกจัดเป็นอาหารสุขภาพ เนื่องจากมีคลอเรสเตอรอลต่ำกว่าไก่เนื้อทั่วไป มีรสชาติที่อร่อยกว่าโดยที่ไม่ต้องใส่ผงชูรส แล้วก็มีเรื่องของการเลี้ยงค่อนข้างง่าย แล้วก็เป็นการสู่ชุมชนโดยตรง เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรโดยตรง ก็จำทำให้ผู้บริโภคหันมาสนใจอาหารลักษณะนี้มากขึ้น เพราะฉะนั้นแนวทางในการส่งเสริมและก็แนวทางในการจับมือกับภาคเอกชนแล้วก็ภาคเกษตรกร ก็จะเป็นรูปแบบที่ชัดเจนขึ้น คงจะไม่ใช่ลักษณะของ เราเรียกว่าเกษตรพันธสัญญาที่มีแต่ทางภาคบริษัทเป็นผู้ได้ประโยชน์แต่ฝ่ายเดียว ตอนนี้เนื่องจากสายพันธุ์มันอยู่ในส่วนที่ดูแลรับผิดชอบโดยมหาวิทยาลัย และภาคเอกชนจะมาดูแลในเรื่องของการตลาด ประสบการณ์ผลิตอาจจะเป็นภาคเกษตรกรหรือว่าชุมชนต่างๆ การจัดการในลักษณะแบบนี้ก็จะทำให้เกิดความยั่งยืนในการผลิตไก่บ้านไทย

               นอกจากนี้ศักยภาพของไก่พื้นเมืองเรา ในกลุ่มประเทศอาเซียนและในกลุ่มต่างประเทศ ก็มีความต้องการสูงมาก ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นประเทศลาว กัมพูชา พม่าหรือเวียดนาม หรือแม้แต่มาเลเซีย นิยมบริโภคไก่พื้นเมืองและลูกผสมพื้นเมืองเป็นส่วนใหญ่ จะไม่ค่อยสนใจบริโภคไก่เนื้อทั่วไป ไก่เนื้อทั่วไปต้องเลี้ยงในโรงเรือนอีแว๊ป (Evap) หรือโรงเรือนปรับอากาศ ซึ่งต้นทุนค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้นการส่งออกในรูปของสายพันธุ์ลูกผสมต่างๆของไก่บ้านไทยกับประเทศเพื่อนบ้านก็เป็นไปได้สูง ส่วนในเรื่องของคุณภาพเนื้อ ตอนนี้มีหลายประเทศให้ความสนใจ เช่นประเทศที่ไกลออกไป เช่นประเทศ ญี่ปุ่น ประเทศอิสราเอล กลุ่มพวกนี้เขาต้องการบริโภคไก่ที่มีลักษณะเหนียวนุ่มเล็กน้อย เช่นไก่บ้าน เป็นต้น เพราะฉะนั้นในอนาคตเรื่องของการเลี้ยงไก่พื้นเมืองไทย ค่อนข้างมีอนาคตที่สดใส และก็เป็นอาชีพอีกอาชีพหนึ่งที่เกษตรกรน่าจะให้ความสนใจ และต้องการที่จะสร้างประโยชน์และทำให้เกิดการแก้ปัญหาเหลื่อมล้ำในสังคม และก็ทำให้มีรายได้มากขึ้นเป็นอย่างดี

ที่มา: http://www.kku.ac.th/news/v.php?q=0008179&l=th

ไก่พื้นเมืองไทย

 

ไก่พื้นเมืองไทย

คราวที่แล้วได้เล่าให้ฟังเกี่ยวกับไก่พื้นเมืองของไทย ซึ่งตอนนี้กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งเอกชนรายใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องไก่ของประเทศ ให้ความสนใจและพัฒนาพันธุ์ขึ้นมา โดยใช้พันธุ์ต้นกำเนิดจากฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม ไก่พื้นเมืองที่เป็นของไทยแท้ ก็ยังมีความน่าสนใจมากเช่นกัน และได้รับการพัฒนามาจนกระทั่งได้เป็นสายพันธุ์แท้และมีการขยายไปสู่ผู้เลี้ยงในชนบท รวมทั้งเอกชนรายใหญ่ในวงการไก่พื้นเมืองอีกหลายราย ซึค่งเมื่อรวมแล้ว ครองตลาดอยู่มากกว่าครึ่งหนึ่งของไก่พื้นเมืองในระดับอุตสาหกรรมของไทย คำถามที่หลายคนอาจสงสัยคือไก่พื้นเมืองของเรามีข้อดีอะไรที่เหนือกว่าไก่ทั่วไป เพราะว่าราคาขายสูงกว่าไก่ทั่วไปพอสมควร
ตอนนี้ทาง สกว. ก็กำลังสนับสนุนให้ รศ. ดร. สัญชัย จตุรสิทธา ศึกษาเกี่ยวกับคุณภาพของเนื้อและรสชาติของไก่ประดู่หางดำเชียงใหม่ 1 ซึ่งเป็นไก่สายพันธุ์ที่พัฒนาขึ้นมาจนกระทั่งนิ่ง และเรียกได้ว่าเป็นสายพันธุ์แท้ของไก่พื้นเมืองไทยพันธุ์หนึ่ง เพื่อให้ได้ข้อมูลทางวิชาการที่ยืนยันและพิสูจน์ได้เพื่อที่ผู้บริโภคจะได้รับทราบจุดเด่นและเข้าใจเหตุผลว่าทำไมจึงต้องจ่ายเงินแพงกว่าไก่ทั่วไป อย่างไรก็ตาม โครงการนี้กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน และยังไม่เสร็จสิ้น แต่ในเบื้องต้นคาดว่าไก่พื้นเมืองจะมีไขมันและ คอเลสเตอรอลต่ำกว่า เนื้อจะมีความแน่นและความหนียวนุ่มมากกว่า รวมทั้งรสชาติโดยรวมซึ่งน่าจะดีกว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อผลการวิจัยที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมจะได้นำมาเล่าให้ฟังอีกครั้งหนึ่งในรายละเอียด
นอกจากจะมีการศึกษาเรื่องของจุดเด่นและความต่างของไก่พื้นเมืองกับไก่ทั่วไปแล้ว ก็ยังมีอีกโครงการหนึ่งที่ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาตำรับอาหารจากไก่ประดู่หางดำ โดยมี ผศ. มาลี หมวกกุล จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เป็นผู้ดำเนินการ เรียกได้ว่ามีการศึกษาครบวงจร เพราะว่าการปรุงอาหารเพื่อให้ได้รับรสชาติของไก่พื้นเมืองอย่างแท้จริง ก็คงต้องมีตำรับพิเศษเฉพาะ ดังนั้น จึงต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรงมาทำการศึกษาและเผยแพร่ออกมา เพื่อให้รู้ว่าไก่พื้นเมืองควรนำมาทำอะไรจึงจะอร่อยและคุ้มค่า และก็แน่นอนว่าตำรับต่าง ๆ เหล่านี้คงไม่ได้คิดขึ้นมาเองล้วน ๆ แต่ต้องมีการอิงกับภูมิปัญญาเดิม ซึ่งชาวบ้านเคยใช้ในการปรุงอาหารอยู่แล้ว และนำมาพัฒนาต่อให้ดียิ่งขึ้นไปอีก
เมื่อทราบทั้งข้อดี จุดเด่นของไก่พื้นเมืองรวมทั้งวิธีการปรุงอาหารแล้ว ก็ยังมีคำถามต่อไปอีกว่า แล้วจะหาซื้อได้ที่ไหน ตอนนี้ไก่ประดู่หางดำเชียงใหม่ 1 อาจยังหาซื้อได้ยาก เพราะยังผลิตได้น้อย และส่วนใหญ่ตลาดก็ยังอยู่ที่เชียงใหม่ ซึ่งก็ต้องมีกระบวนการผลักดันให้ประชาชนได้รู่จักไก่พันธุ์นี้กันมากขึ้น ขั้นแรกก็ต้องมีการศึกษาตลาด ซึ่งคุณอำนวย เลี้ยวธารากุล จากกรมปศุสัตว์ เป็นผู้ศึกษาแนวทางการสร้างการรับรู้ไก่ประดู่หางดำเชียงใหม่ 1 ในกลุ่มผู้บริโภคไก่พื้นเมือง จนในที่สุดก็ทราบข้อมูลโดยตรงจากผู้ชำแหละและผู้ขายไก่สดว่าพันธุ์ไก่ที่ต้องการมากที่สุดคือไก่ประดู่หางดำเชียงใหม่ 1 รองลงมาคือไก่ลูกผสมประดู่หางดำ และอื่น ๆ ตามมา โดยที่คนภาคเหนือต้องการไก่ที่มีขนาดเล็กกว่าภาคอื่น ๆ คือต้องารน้ำหนักตัวประมาณ 0.8-1.0 กิโลกรัม เมื่อก่อนนี้ผู้ยริโภครับรู้หรือรู้จักไก่ประดูหางดำเชียงใหม่เพียงร้อยละ 3.5 แต่ต่อมามีกระบวนการสร้างการรับรู้มากขึ้น มีทั้งการติดป้าย การประชาสัมพันธ์ การใส่ไก่ในถุงพลาสติกที่บอกข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับไก่ ก็เลยทำให้การรับรู้และรู้จักไก่พันธุ์นี้เพิ่มขึ้นมาเป็น 54% ภายใน 3 เดือน หลังจากนั้นความต้องการก็เพิ่มมากขึ้น เพราะว่าผู้บริโภคเริ่มมีความมั่นใจและพอใจในไก่พื้นเมืองในด้านต่าง ๆ ดังนั้นตลาดไก่พื้นเมืองจึงน่าจะสดใสและยังมีโอกาสอีกมากครับ

ที่มา: http://www.arda.or.th/easyknowledge/easy-articles-detail.php?id=21

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2558

วีดีโอการเลี้ยงไก่พื้นเมือง


วีดีโอการเลี้ยงไก่พื้นเมือง



                                    ที่มา: https://www.youtube.com/watch?v=33KZ-A1ZjsU


 
 

การอนุรักษ์สายพันธุ์ไก่พื้นเมือง

การอนุรักษ์สายพันธ์ไก่พื้นเมือง




การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ไก่ 

โดยปกตินักเลงเล่นไก่ชนมักจะหวงพันธุ์ของแม่ไก่มากกว่าของพ่อไก่ เพราะถือกันว่าสายเลือดของแม่จะให้ได้ลูกไก่พันธุ์ที่ดี วิธีที่จะหาพ่อพันธุ์ให้ได้ไก่เก่ง ท่านต้องเป็นซอกแซกไปเที่ยวตามบ่อนไก่ชนบ่อย ๆ และคอยดูว่าไก่ตัวไหนที่เก่ง คือตีแม่น ชั้นเชิงดี หัวใจทรหด อดทน ไม่หนีง่าย ถ้าไก่ที่มีคุณสมบัติดังกล่าวนี้ เวลาชนเสร็จแล้วชนะ หรือแพ้ จะตาบอดหรือไม่ก็ตาม เอามาทำพ่อพันธุ์ได้ (ตามตำราบอกว่าเอาไก่ที่แพ้มาทำพ่อไก่มันให้ลูกเด็ดนักแล) ท่านซื้อตอนนั้นราคาอาจจะไม่สูงนัก เพราะนักเลงไก่เขาไม่ค่อยเก็บเอาไว้ แต่ถ้าท่านไม่สามารถทำได้ดังกล่าว ท่านต้องไปหาซื้อเอาตามบ้านนักเล่นไก่ชน ส่วนแม่พันธุ์ก็ควรให้มีคุณสมบัติเหมือนตัวผู้ เพราะการผสมพันธุ์ ถ้าทำโดยวิธีการสุกเอาเผากินแล้วจะทำให้ท่านได้ไก่ดียาก เพราะกว่าจะรู้ว่าตัวไหนดีหรือไม่ดีต้องเสียเวลาอย่างน้อยประมาณ 9 - 10 เดือนวิธีคัดเลือกแม่พันธุ์ และแม่พันธุ์ไก่ โดยปกตินักนิยมเล่นไก่ชนมักจะเลือกสีเป็นอันดับแรก ดังนั้นไก่ที่จะนำมาเป็นพ่อพันธุ์ควรเลือกจากไก่ที่มีสีดังต่อไปนี้ 
1. สีเหลืองหางขาว
 









2. สีประดู่หางดำ เดือยดำ เล็บดำ ปากดำ (หรือปากคาบแก้ว)





 








3. สีเขียวเลา (มีสีเขียวสลับกับสีขาวทั้งตัว หางขาวด้วย) 









4. สีเขียวกา หรือเขียวแมลงภู่ (หางดำ)













เพราะโบราณกล่าวไว้ว่าไก่ 4 สีนี้เป็นสีที่รักเดิมพันมาก ชนได้ราคาแพง ไม่ค่อยแพ้ ส่วนไก่ สีอื่น ๆ นักเลงเล่นไม่นิยมเล่นกัน เพราะเข้าใจว่าเป็นไก่พันธุ์ผสมมาจากสายเลือดอื่น ที่ไม่ใช่ไก่ชนแท้ อาจจะผสมกับไก่โรดส์ หรือไก่เร็คฮอนก็เป็นได้ น้ำใจไก่พวกนี้จึงไม่ทรหดมาก สำหรับแม่พันธุ์นั้นเวลาใช้ผสมพันธุ์ ควรหาให้เป็นสีเดียวกับพ่อพันธุ์ เวลาให้ลูกจะได้สีเหมือนกัน
คุณสมบัติ และลักษณะของพ่อพันธุ์ไก่
นอกจากสีของไก่แล้ว พ่อไก่ควรมีคุณสมบัติ และลักษณะดังต่อไปนี้
1. ควรเป็นไก่ที่มีประวัติที่ดี เคยชนชนะจากบ่อนมาแล้ว
 
2. ปากต้องใหญ่ มีร่องน้ำ 2 ข้างปากลึก (ปากสีเดียวกับขา)
 
3. นัยตาควรเป็นสีขาว (หรือที่เรียกว่าตาปลาหมอตาย หรือตาสีขน สีเดียวกับสร้อยคอ)
 
4. คอใหญ่ และปล้องคอถี่ ๆ
 
5. หัวปีกต้องใหญ่ และขนปีกยาว
 
6. นิ้วเล็กเรียวยาว
 
7. เม็ดข้าวสารท้องแข้งใหญ่ และแข้งกลม
 
8. สร้อยคอยาวติดต่อกันถึงสร้อยหลัง
 
9. หางยาวแข็งและเส้นเล็ก
 
10. กระดูกหน้าอกใหญ่และยาว
 
11. เดือยใหญ่ และชิดนิ้วก้อยมากที่สุด
 
12. อุ้งเท้าบางและเล็บยาว
 
13. เกล็ดแข้งใสเหมือนเล็บมือ และมีร่องลึก

การเริ่มต้นเลี้ยงไก่ชน
การเริ่มต้นเลี้ยงไก่ สำหรับคนที่ไม่มีความชำนาญ ไม่เคยเลี้ยงไก่มาย่อมจะเป็นเรื่องหนักใจอยู่มิใช่น้อย แต่สำหรับผู้ที่เคยเลี้ยงมาแล้วจะไม่รู้สึกลำบากใจเท่าใดนัก แต่อย่างไรก็ดี ย่อมจะขึ้นกับหลักดังได้กล่าวข้างต้นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จะต้องมีทุนด้วย มิฉะนั้นจะพบกับความลำบากหลายประการ เป็นต้นว่าโรงเรือน เงินสำหรับซื้อไก่ และอาหารไก่ การเริ่มต้นเลี้ยงไก่ เริ่มได้หลายทาง คือ 
1. ซื้อไก่มาฟักเอง หรือจ้างเขาฟัก 
2. ซื้อลูกไก่คัดเพศแล้ว หรือลูกไก่คละเพศมาเลี้ยง ถ้าต้องการแม่ไก่ 10 ตัว จะต้องซื้อลูกไก่คละเพศมาเลี้ยงเป็นจำนวน 25 ตัว
 
3. ซื้อไก่รุ่นอายุประมาณ 8-10 อาทิตย์มาเลี้ยง
 
4. ซื้อแม่ไก่ไข่มาเลี้ยง การซื้อแม่ไก่มาเลี้ยงเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับผู้ไม่ค่อยจะชำนาญในการเลี้ยงไก่ เพราะจะพบอุปสรรคน้อย ให้ผลเร็ว จะทำให้เกิดการเอาจริงเอาจังขึ้น
 
วิธีเลี้ยง 
1. แบบเลี้ยงปล่อย เลี้ยงแบบปล่อยให้หากินเอง เช่น ใต้ถุนบ้าน ลานบ้าน มักนิยมเลี้ยงตามชนบท โดยให้กินเศษอาหาร คุ้ยเขี่ยหากินเอง การเลี้ยงแบบนี้ส่วนมากถือเป็นงานอดิเรกเท่านั้น และมักจะมีอันตรายจากสัตรูและโรค ซึ่งอาจติดต่อโรคได้โดยง่าย 
2. เลี้ยงแบบครึ่งปล่อยครึ่งกัก การเลี้ยงแบบนี้ คือเลี้ยง ในลาน แต่มีรั่ว มีเล้าให้อยู่อาศัย ให้ออกกำลังกายได้ การเลี้ยงแบบนี้จะต้องให้อาหารพอดี
 
3. เลี้ยงแบบขึ้นคอน ไม่มีลาน ไก่อยู่บนพื้นมีคอนให้นอน มีรางอาหาร รางน้ำอยู่ในเล้าเสร็จ อาหารจะต้องหามาให้ โดยให้กินอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง การเลี้ยงแบบนี้ ควรจะให้น้ำมันตับปลาด้วย เพื่อให้ไก่แข็งแรง โตเร็ว
 

โรงเรือน 
โรงเรือนโดยทั่วไป ควรมีลักษณะดังนี้ 
1. กันลม แดด ฝนได้ดี 
2. อากาศ ระบายได้สะดวก เย็นสบาย ไม่อับ มีกันสาดกันฝน
 
3. ป้องกันศัตรูต่างๆได้ดี
 
4. รักษาความสะอาดง่าย ไม่เป็นที่น้ำขัง พื้นไม่แฉะ ไม่รกรุงรัง
 
5. ห่างจากที่ชุมนุมชน พอสมควร มีการขนส่งสะดวก อาหารหาง่าย
 

การรักษาคุณภาพอาหารไก่ 
1. เมื่อผสมอาหารให้ไก่ ไม่ควรผสมมากเกินไป เพราะจะเสื่อมคุณภาพถ้าเก็บไว้นานเกินไป ควรผสมให้กินหมดภายใน 3-5 วัน เมื่อหมดแล้วจึงค่อยผสมใหม่ จะได้อาหารที่มีคุณภาพตามที่เราต้องการอยู่เสมอ 
2. อาหารที่ผสมไว้ ควรจะเก็บให้ดี สะอาดเรียบร้อย อย่าให้แดดส่องนานๆ หรือเก็บไว้ใกล้ความร้อน จะทำให้อาหารเสื่อมคุณภาพ หรือเก็บไว้ในที่อับเกินไป และชื้นแฉะไม่มีอะไรรองรับ อาหารก็จะเสียและเสื่อมคุณภาพได้ 
3. อาหารที่ซื้อมาจากร้านค้า ควรจะพิถีพิถันสักหน่อย ควรตรวจดูว่าอาหารเก่า ใหม่แค่ไหน ถ้าเห็นว่าเก่าเกินไป หรือกลิ่นผิดปกติ ไม่ควรซื้อไปให้ไก่กิน 
ในเรื่องอาหารไก่นี้ควรเอาใจใส่เป็นพิเศษไม่ว่าจะเป็นตามสูตรหรืออาหารเสริม ถ้าให้ไม่ถูกต้องก็จะเป็นผลร้ายขึ้นได้ โดยเฉพาะคุณภาพของอาหาร ควรจะระวังให้หนัก ถ้าอาหารมีคุณภาพไก่กินเข้าไปก็จะเติบโตเร็ว คุ้มค่ากับเงินทองที่เสียไป แต่ถ้าให้อาหารที่มีคุณภาพต่ำ ผลร้ายจะเกิดขึ้นทันที 
การฟักไข่ 
วิธีฟักไข่แบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ 
1. ฟักด้วยใช้แม่ไก่กก 
2. ฟักด้วยเครื่องฟัก โดยการซื้อเครื่องฟักมาฟัก มีทั้งเครื่องฟักที่ใช้ไฟฟ้า และเครื่องฟักที่ใช้ความร้อนจากแสงสว่างของตะเกียง 
การฟักไข่ด้วยตนเอง 
การฟักไข่ด้วยตนเอง โดยใช้ ตู้ฟัก เป็นประโยชน์สำหรับนักเลี้ยงไก่ เพราะจะได้เกิดความชำนาญในการฟัก ประหยัดเงินที่จะซื้อลูกไก่อื่นมาเลี้ยง ถ้าเราฟักเองก็จะได้ลูกไก่เลี้ยงจากพันธุ์ที่ดีและแน่นอน 

การเลี้ยงลูกไก่ 


1. เครื่องกก คือเครื่องทำให้เกิดความร้อนเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ลูกไก่เหมือนกกด้วยแม่ เครื่องกกนี้จะใช้ไฟหรือใช้ตะเกียกก็ได้ แล้วแต่ความเหมาะสม ความร้อนที่ลูกไก่ต้องการ ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 4 อาทิตย์ ระหว่าง 90-95 องศาฟาเรนไฮท์ และค่อยๆลดลงอาทิตย์ละ 4 องศา จนถึง 80-85 องศาฟาเรนไฮท์ ถ้าอากาสหนาวควรจะกกต่อไปสัก 1-2 อาทิตย์ 
2. อาหาร เมื่อไก่แรกเกิดไม่ควรจะให้อาหารทันที เพราะมันมีอาหารสำรองอยู่แล้ว สัก 2-3 วันจึงค่อยให้อาหารละเอียด ใส่ภาชนะตั้งให้กินตลอดเวลา แต่ให้ครั้งละน้อยๆให้บ่อยๆ ถ้าให้มากลูกไก่จะกินมากจนเกินน้ำย่อยทำงาน จะเป็นอันตรายแก่ลูกไก่ได้ 
3. น้ำสะอาด ตั้งให้กิน 

การเลี้ยงลูกไก่ทั่วๆไป 
การเลี้ยงดูอาทิตย์แรก 
1. เมื่อลูกไก่ขนแห้ง เอาออกจากเครื่องกกหรือแม่ไก่ ตั้งน้ำและกวาด ทรายให้กิน วันรุ่งขึ้นตั้งอาหารให้กิน 
2. ใช้นมสดผสมให้กินครึ่งต่อครึ่ง ถ้ามีนมสด 
3. ทำรางอาหารยาวรางละประมาณ 1 ฟุต วางไว้ห่างๆ เพื่อให้ลูกไก่กระจายกิน ไม่ต้องแย่งกัน 
4. ควรจัดที่ลูกไก่ให้เพียงพอ อย่าให้คับแคบจนเกินไป 
5. ทำการฉีดวัคซีนป้องกัน โรคนิวคลาสเซิล และตรวจโรคอุจจาระขาว โดยการทำของสัตวแพทย์ 

การเลี้ยงดูอาทิตย์ที่ 2 


การเลี้ยงดูในระยะนี้ ก็ต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษเช่นเดียวกัน เพราะไก่ยังไม่แข็งแรง มันจะตายในระยะนี้เสมอ การเลี้ยงดูก็ให้อาหารที่จะสร้างกำลังให้แก่ลูกไก่ คือ 
1. การให้กินอาหารป่นตลอดเวลา ให้กินผักสดวันละ 1-2 ครั้ง 
2. ตอนเย็นควรให้อาหารหยาบบ้าง 
3. เครื่องกกควรลดความอุ่นลง ในระยะนี้ควรจะแยกลูกไก่ เพื่อไม่ให้แออัดจนเกินไป 
4. หมั่นทำความสะอาดพื้นกรงขัง ควรใช้น้ำยาฆ่าเชื้อฉีดหรือพ่น และเปลี่ยนที่รองพื้นบ่อยๆ พื้นสกปรกจะทำให้เกิดเชื้อโรคได้ 
5. ให้ลูกไก่ได้รับแสงแดดเช้าๆอยู่เสมอ การได้รับแสงแดดอ่อนๆจะทำให้ลูกไก่กระปรี้กระเปร่าขึ้น
 
การเลี้ยงดูอาทิตย์ที่ 3-6 
ระยะนี้ลูกไก่จะแข็งแรงขึ้น พอจะดูได้ว่าตัวไหนแข็งแรงและไม่แข็งแรง ตัวที่ไม่แข็งแรงควรแยกออกหรือทำลายเสีย การเลี้ยงดูคือ 
1. อาทิตย์ที่ 3 ลดความอุ่นลง พออาทิตย์ที่ 5 ไม่ต้องให้เลย 
2. ให้กินอาหารป่นอยู่ตลอดเวลา 
3. ให้กินเปลือกหอย โดยจัดไว้ต่างหาก 
4. จะเพิ่มอาหารหยาบขึ้นกว่าเดิมก็ได้ เพราะลูกไก่แข็งแรงพอแล้ว 
5. ควรขลิบจงอยปากออกเล็กน้อย กันจิกกันเอง จะทำให้เกิดบาดแผลรักษาหายยาก 
6. เมื่อเห็นว่าตัวไหนถูกจิกควรแยกออก เพราะมันจะถูกจิกซ้ำ กลายเป็นแผลรักษายาก 

การเลี้ยงดูอาทิตย์ที่ 7-16 





ในระยะนี้เป็นระยะไก่รุ่น ไก่แข็งแรงดีแล้ว การเลี้ยงดู 
1. แยกลูกไก่ตัวผู้และตัวเมียออกจากกัน 
2. ให้น้ำและอาหารกินพอเพียง 
3. มีที่บังแดดและลม เพราะไก่ถูกลมโกรกจะเป็นหวัดได้ง่าย 
4. รักษาโรงเรือนให้สะอาดอยู่เสมอ 






การเลี้ยงไก่รุ่น 
1. ลักษณะที่ควรคัดออก 
- ขนดกยุ่งและด้าน ขนงอกช้า โตช้า 
- หน้าซีด ขาวเผือด อมโรค ตาขุ่นและลึก 
- หงอนและเหนียงเล็ก หด สีแดงช้ำๆเป็นขุย 
- อ่อนแอโตช้า 
- รูปร่างไม่ได้ส่วน ลำตัวโพลก 
- หน้าแข้งและปากสีขาวซีด 
- อ่อนแอ หัวยาวแหลมคล้ายหัวงู หรือหัวกา กระดูกหน้าอกคด 

2. ลักษณะที่ควรเก็บไว้ 
- ขนดกลื่นเป็นมัน ขนงอกเร็วและโตเร็ว 
- หน้าตาสดใส ตาโต ตาไม่เด่นนูน ไม่จมลึก 
- หงอนและเหนียงโตงามสีแดงสดเงาเป็นมัน 
- แข็งแรง ว่องไว สมบูรณ์ เคลื่อนไหวเป็นปกติ 
- ลำตัวลึกและตัน รูปร่างสมส่วนใหญ่เนื้อหนังดี 
- หนังแข็ง ปากสีเหลืองเข้ม 
- แข็งแรง ลักษณะตรงตามพันธุ์ หัวสวยสง่า 
- กระดูกหน้าอกตรง 


 การเพิ่มมูลค่าของไก่พื้นเมือง
           เป็นวิธีแบ่งปันผลประโยชน์ให้เกษตรกรได้อีกวิธีหนึ่ง เช่น ไก่แจ้พื้นเมืองขนสีทอง ดำ หรือสีประดู่ เป็นต้น เป็นไก่สวยงามราคาแพง หรือไม่ก็สายพันธุ์ไก่ชนก็ดี เพราะถ้าชนเก่ง สายเลือดชนเก่ง ก็สามารถขายได้ราคา อีกประการหนึ่ง ไก่ชนเป็นไก่สายเลือดค่อนข้างบริสุทธิ์ และเป็นไก่ที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมไทยมานับร้อยๆ ปี นอกจากนี้ยังเป็นไก่ที่แข็งแรง ไม่ขี้โรค กล้ามเนื้อใหญ่ ไข่ดก ลูกดก ฟักไข่ได้เอง และเมื่อนำมาประกอบอาหารมีรสชาติดี ดังนั้น การเลือกพันธุ์ที่อนุรักษ์ก็สามารถเพิ่มมูลค่าของไก่สายพันธุ์นั้นๆ ได้ อย่างไรก็ดี ไก่พันธุ์พื้นเมืองที่มีอยู่ทั่วไปทุกวันนี้ คาดว่า 80-90% เป็นไก่ที่เป็นสายพันธุ์ไก่ชน ดูได้จากแม่ไก่ประมาณ 90% จะมีขนสีดำ ตัวผู้จะเป็นไก่ขนเหลืองหางขาว หรือประดู่หางดำ